วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

สุขสันต์ปีใหม่แด่ผู้อ่านทุกท่าน

สุขสันต์ปีใหม่แด่ผู้อ่านทุกท่าน เรื่องร้ายใดๆ ในปีที่ผ่านมา ก็ขอให้ผ่านพ้นไป เริ่มปีมะเมียนี้ขอให้พบพานแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความสุขไหลมาเทมา เงินทองไม่จำเป็นต้องมีเยอะ ขอแค่ร่างกายแข็งแรง และมีความสุขกับสิ่งรอบๆ ตัว และคนในครอบครัวก็เพียงพอแล้วหลังจากหยุดพักผ่อนยาวช่วงเทศกาลที่ผ่านมา หลายคนก็ต้องกลับมาสู่ชีวิตปกติสู้ชีวิตทำงานหาเลี้ยงปากท้องกันต่อไป บางคนได้งานที่รักที่ชอบก็ไม่มีปัญหา ส่วนบางคนที่อาจจะไม่ถูกใจเท่าที่ควรก็กัดฟันผ่านพ้นไปให้ได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า ดร.องอาจ ก่อสินค้า จะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังมากกว่ากันหลังจากถูกพลิกตำแหน่งให้มารับบท “ประธาน บริษัท ไทย พรีเมียร์ ลีก (ทีพีแอล)” รายล่าสุด ต่อจาก ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ที่ขยับขึ้นไปเป็นที่ปรึกษา (หรืออีกนัยหนึ่งคือถูกปลดทางอ้อมนั่นแหละ)  “บิ๊กเปี๊ยก” ถูกขยับจากตำแหน่งเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ให้มาเป็นนายใหญ่ทีพีแอล ในยุค “รัฐบอลสมัย 4” ของ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมลูกหนังไทย ซึ่งปัญหาแรกที่อดีตพ่อบ้านต้องเจอคงหนีไม่พ้นเรื่องการจัดสรรโปรแกรมแข่งขันของฟุตบอลในประเทศ สำหรับฤดูกาล 2014 นี้ ศึก ไทย พรีเมียร์ ลีก จะถูกปรับเพิ่มจาก 18 ทีม เป็น 20 ทีม ตามที่สมาคมฟุตบอลฯแก้ผ้าเอาหน้ารอดจากปัญหาแย่งสิทธิ์การทำทีมของ ศรีสะเกษ เอฟซี กับ อีสาน ยูไนเต็ด ซึ่งสุดท้ายแล้วดูเหมือนจะรอดแค่ “หน้า” จริงๆ แต่ “ตัว” ไม่น่าจะรอดตามมาด้วย เพราะเพียงแค่เริ่มเอ่ยปากถึงวันเปิดฤดูกาลยังสะดุดต้องเลื่อนออกไปแล้ว จากเดิมที่ ดร.วิชิต วางคิวไว้ว่าจะเปิดเลกแรกวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2557 แต่เมื่อ “บิ๊กเป๊ยก” เข้ามาทำหน้าที่ก็เล็งเห็นว่าอาจจะเร็วเกินไปเลยเขยิบไปอีก 1 สัปดาห์ เป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์แทน ก่อนจบฤดูกาลวันที่ 1-2 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน เบ็ดเสร็จหวดกันกว่า 9 เดือน ยังไม่รวมฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ก ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ประเดิมวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งเมื่อกวาดตาดูคร่าวๆ ถึงโปรแกรมระหว่างทางที่แข้งไทยจะต้องเจอแล้วต้องอุทานว่า “เตะเอาตายกันหรือไร!” เอาแค่คิวในประเทศ นอกจาก ไทย พรีเมียร์ ลีก ที่หวดกันทีมละ 38 นัดแล้ว แล้วยังมีฟุตบอลถ้วย มูลนิธิ ไทยคม เอฟ เอ คัพ ที่ทีมจากลีกสูงสุดจะเริ่มสตาร์ทในรอบที่ 3 หากจะคว้าแชมป์ก็ต้องแข่งอย่างน้อย 5 แมตช์ รวมถึงถ้วย โตโยต้า ลีก คัพ ที่มีฟาดแข้งกันแบบเหย้า-เยือน ทีมจากไทยลีกจะลงตั้งแต่รอบ 64 ทีมเป็นต้นไป ถึงรอบชิงชนะเลิศก็รวม 8 เกม คำนวนแล้วหากจะลุ้นทั้ง 3 แชมป์ต้องลงเล่นอย่างต่ำ 51 นัด พร้อมกันนี้ยังมีบอลถ้วยสโมสรเอชีย เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่ 3 ทีมตัวแทนจากไทยลงสู้ศึกอี  ขณะที่โปรแกรมทีมชาติที่ออกมาแน่นอนแล้วก็เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม แมตช์ส่งท้ายศึกเอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก รับมือ เลบานอน ต่อด้วยมหกรรมกีฬา เอเชียน เกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 19 กันยายน - 4 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาพักเบรกของเกมลีกไปในตัว จากนั้นยังมี ฟุตบอลคิงส์ คัพ ช่วงเดือนพฤศจิกายน และปิดปีด้วย เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ที่ประเทศเวียดนาม และสิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพในรอบแรกช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม อีกทั้งยังมีฟุตบอล ยู-16 ปี ที่เตรียมแข่งชิงแชมป์เอเชีย วันที่ 18 กันยายน - 1 ตุลาคม ที่ประเทศไทยรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ และ ยู-19 ปี ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศเมียนมาร์ ช่วงเดือนตุลาคม อีก นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้เล่นคนใดที่เป็นตัวหลักของทีมชาติและสโมสรใหญ่ๆ โดยเฉพาะแข้งจาก “ปราสาทสายฟ้า” และ “กิเลนผยอง” ที่แทบจะการันตีติดทุกทัวร์นาเมนต์ มีสิทธิ์ที่จะต้องกรำศึกหนักกว่า 70 นัด ตลอดขวบปีนี้เลยทีเดียว สุดท้ายก็ได้แต่หวังว่า “บิ๊กเปี๊ยก” จะโชว์ศักยภาพจัดคิวได้อย่างไร้ปัญหา ไม่มีโรคเลื่อนแบบฉุกละหุกให้เหล่าสโมสรสมาชิกก่นด่าได้นะคร้าบบบเจ้านาย   รายละเอี่ยด คลิงก์ที่นี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น